ตัวแบบทฤษฎีระบบ
ทฤษฎีระบบสามารถแยกออกได้เป็น 2 แนวใหญ่ด้วยกัน คือ
แนวแรก มองในฐานะสิ่งมีชีวิตคล้ายกับทางชีววิทยา (System as organic entity) ตัวแทนที่เด่นของแนวคิดนี้ในวิชารัฐศาสตร์ ได้แก่ เดวิด อีสตัน (David Easton)
แนวที่สอง มองระบบในแง่ของโครงสร้าง – หน้าที่ ตัวแทนของแนวความคิดนี้ ได้แก่ เกเบรียล อัลมอนต์ และคณะ
1. ทฤษฎีระบบในฐานะสิ่งมีชีวิต
เจ้าตำหรับที่นำแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีระบบมีใช้ในวิชาสังคมศาสตร์ คือ นักสังคมวิทยา ชื่อ ทัลคอท พาร์สัน (Talcott Parsons) ต่อมานักสังคมศาสตร์รวมทั้งนักรัฐศาสตร์รับเอาแนวความคิดนี้มาใช้ กล่าวโดยสรุป หัวใจของนักทฤษฎีระบบอยู่ที่การมองสังคมว่าเป็นระบบ (Social system) ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระหว่างระบบใหญ่กับระบบย่อยคล้ายสิ่งมีชีวิต เช่น ร่างกายมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน
ในฐานะที่เป็นระบบสังคมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องการบางอย่าง (Need) ได้รับการตอบสนอง เพื่อความอยู่รอดของระบบ คือ อยู่ในภาวะดุลยภาพ ดังนั้น ระบบของสังคมจึงมีฐานะคล้ายกับสิ่งมีชีวิต คือ สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ ถ้าหากความต้องการต่าง ๆ ได้รับการตอบสนอง แต่ถ้าหากความต้องการของสังคมไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควรก็จะทำให้สังคมเกิดภาวะไร้ดุลยภาพ คือ เสียศูนย์ระบบก็เสื่อมสลายไปในที่สุด
เดวิด อีสตัน เป็นตัวแกนของกลุ่มที่มองระบบในฐานะสิ่งมีชีวิต และเป็นคนแรกที่นำเอาทฤษฎีระบบมาใช้ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ ความหวังของ อีสตัน อยู่ที่การสร้างทฤษฎีทางการเมืองที่เป็นมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับของนักรัฐศาสตร์ทั่วไป
ทฤษฎีของเดวิด อีสตัน เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในหมู่นักรัฐศาสตร์
สภาพแวดล้อม (Environment) หมายถึง สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อระบบการเมือง
สิ่งที่ใส่เข้าไปในระบบการเมือง (Inputs) แยกเป็นข้อเรียกร้องที่มีต่อระบบ (Demand) และการยอมรับหรือการสนับสนุนที่สมาชิกมีต่อระบบ (Support)
ระบบการเมือง (Political system) หมายถึง ระบบความสัมพันธ์และพฤติกรรมทางการเมืองรวมตลอดถึงสถาบันและโครงสร้างทางการเมืองที่ทำหน้าที่ในการจัดสรรสิ่งที่มีค่าในสังคม
ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการทำงานของระบบการเมือง (Output) เช่น นโยบาย การตัดสินใจ การดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาล
ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) หมายถึง ผลสะท้อนอันเนื่องมาจากการทำงานของระบบการเมืองอันจะนำไปสู่การสนับสนุน หรือการตั้งข้อเรียกร้องใหม่ต่อระบบการเมือง ถ้าระบบการเมืองสามารถตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก ระบบก็อยู่รอด หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามระบบก็เสื่อมสลายไป
2. ทฤษฎีระบบในแง่ของโครงสร้าง-หน้าที่ ในทางรัฐศาสตร์ ตัวแทนของแนวความคิดที่มองระบบในแง่ของโครงสร้าง-หน้าที่ ได้แก่ เกเบรียล อัลมอนด์ ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่ ของเขาไม่แตกต่างอะไรไปจากทฤษฎีระบบของอีสตัน กล่าวคือ ยังมองการทำงานของระบบการเมืองในแง่ของ “สิ่งที่เข้าไปในระบบกับสิ่งที่ออกมา” (Inputs-Outputs) แต่อัลมอนด์ให้ความสำคัญกับหน้าที่และภารกิจของระบบการเมืองมากกว่าอีสตัน โดยเขาเห็นว่าหน้าที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างในระบบการเมืองหนึ่ง (จุดนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างอัลมอนด์กับเฟรด ริกส์ ) การให้ความสำคัญในหน้าที่มากกว่าโครงสร้าง ทำให้อัลมอนด์เรียกวิธีการศึกษาของเขาว่า “The functional approach to comparative political”
อัลมอนด์มีความคิดเห็นว่า หน้าที่ที่สำคัญของการเมืองหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยกลุ่มใหญ่ ๆ และเวลาศึกษาเปรียบเทียบระบบการเมืองนั้นก็จะเปรียบเทียบหน้าที่หลัก 3 กลุ่มนี้ ว่าของใครทำงานได้ตรงตามหน้าที่มากกว่ากัน
ก.หน้าที่ทางการเมืองหรือส่วนที่นำเข้าไป (political or Input functional) ประกอบไปด้วย
1. การให้ความรู้ทางการเมืองแก่ประชาชน เพื่อให้เกิดความตื่นตัวและต้องการเข้ามา มีส่วนร่วมทางการเมือง (political socialization and recruitment)
2. การให้ประชาชนสามารถแสดงออกทางการเมือง เพื่อป้องกันประโยชน์ของประชาชน ( Interest articulation)
3. การรวมตัวของประชาชนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ในรูปของกลุ่มผลประโยชน์และพรรคการเมือง ( Interest aggregation)
4. การคมนาคมติดต่อสื่อสาร เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองของประชาชน (political comumication)
ข. หน้าที่ของรัฐบาลหรือส่วนที่ออกมา (Govermmant or output functional ) ประกอบไปด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ข้องบังคับต่าง ๆ (Rule-making) การบังคับใช้กฎเกณฑ์เหล่านั้น (Rule-application) และการพิจารณาตัดสินให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์นั้น ๆ (Rule-adjudication)
ค. หน้าที่เกี่ยวกับความสามารถของระบบการเมือง (Capability functional) ประกอบด้วย
- การปกป้องรักษาและการปรับตัวของระบบการเมือง (Maintenance and adaptation)
- กระบวนการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่นำเข้าให้เป็นผลออกมา (Conversion)
- ความสามารถอื่น ๆ เช่นความสามารถในการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ความ สามารถในการสกัดเอาทรัพยากรมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการแจกจ่ายและตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน รวมตลอดถึงความสามารถในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=257.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น